วิเคราะห์ข่าวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ Non Bank💸

ข่าวสัปดาห์ที่ 1 จากข่าว เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2561 

เปิดโผหุ้นNon-Bankเด่น ชูMTC-SAWAD-AEONTS-KTC

            นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ฟินันเซียไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า หุ้นกลุ่ม FINANCE แม้จะมีปัจจัยกดดันจากอัตราดอกเบี้ยสู่ “ขาขึ้น”ปรับขึ้นจากฐานที่ต่ำ รวมถึงอัตราที่คาดว่าจะปรับขึ้นตลอดทั้งปี 2562 ไม่ถือเป็นปัจจัยกดดันการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจ โดยผู้ประกอบการทราบล่วงหน้าแล้วว่าวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยจะเริ่มเร่งตัวขึ้น จึงมีการระดมทุนช่องทางอื่นที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำไว้รองรับในอนาคต ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศมีอัตราการขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงรัฐบาลยังคงกระตุ้นการลงทุนผ่านโครงการขนาดใหญ่ และนโยบายต่างๆ ดังนั้นคาดว่ายอดคำขอสินเชื่อน่าจะยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง“มองว่ากลุ่ม FINANCE มีศักยภาพการทำกำไรต่อเนื่องแม้ต้นทุนการดำเนินงานจะทยอยปรับตัวสูงขึ้น เพราะเมื่อเศรษฐกิจยังดี ก็จะยังคงมีความต้องการสินเชื่อต่อเนื่อง อีกทั้งภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นนั้น ทุกฝ่ายทราบกันมาระยะหนึ่งแล้ว ผู้ประกอบการมีการระดมทุนเพื่อให้ได้ต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำลง” นักวิเคราะห์ กล่าว

*MTC-SAWAD มาแรง

ฝ่ายวิเคราะห์เลือก MTC เป็น Top pick ของกลุ่มเนื่องจาก MTC เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยที่ 23% ขณะที่มาตรการสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีความชัดเจน โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เกิน 28% และให้ใบอนุญาตโดยไม่ต้องขอใหม่กับผู้ที่มีใบอนุญาตสินเชื่อบุคคลแล้ว ดังนั้น MTC จึงยังมี Room ในการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้นได้โดยเฉพาะในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น แม้ว่าผู้บริหารยืนยันว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมก็ตาม

ขณะที่ประมาณการกำไรทั้งปี 2561 ของ MTC ที่ 3.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% เทียบกับปี 2560 และประมาณการกำไรทั้งปี 2562 ไว้ที่ 5.39 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.5% เทียบกับปี 2561 ประมาณการดังกล่าวอยู่บนสมมติฐานการเติบโตของสินเชื่อที่ 35% แม้บริษัทจะคาดการณ์สินเชื่อปี 2562 จะเติบโตที่ 30% ก็ตาม แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 2562 ที่ 60 บาทนอกจากนี้แนะนำ “ซื้อ”  SAWAD ราคาเหมาะสมปี 2562 ที่ 53 บาท และ “ซื้อเก็งกำไร” KTC ราคาเหมาะสมปี 2562 ที่ 46 บาท

* KTC- AEONTS สินเชื่อพุ่ง

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า หุ้นกลุ่ม FINANCE ในปี 2561 ผู้ประกอบการกลุ่ม Non-Bank สามารถขยายฐานสินเชื่อได้ทั้งสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยเป็นการเติบโตนตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตามฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าในปี 2562 กลุ่มสินเชื่อบัตรเครดิตอาจเผชิญความเสี่ยง เนื่องจากสัดส่วนของสินเชื่อบัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้นมากเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลอื่นๆ ยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทั้ง KTC และ AEONTS จึงหันมาเน้นขยายฐานลูกค้าสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2562-2563

ฝ่ายวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 2562 ที่ 217 บาท เนื่องจาก AEONTS มีส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มสินเชื่อบุคคลที่ 11.2% เทียบกับ KTC ที่มี 7% แม้ว่า KTC จะมีนโยบายในเชิงรุกมากกว่า ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์กำไรก่อนการตั้งสำรองของ AEONTS ทั้งปี 2561 ที่ 3.58 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับปี 2560 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 15.9% ในปี 2562 หนุนโดยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น และหนี้เสียที่ฟื้นตัว และแนะนำให้ “ถือ” KTC มูลค่าที่เหมาะสมปี 2562 ที่  37 บาท

วิเคราะห์ข่าว💰

              นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ฟินันเซียไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า หุ้นกลุ่ม FINANCE มีอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ “ขาขึ้น”รวมถึงอัตราที่คาดว่าจะปรับขึ้นตลอดปี 2562 ไม่ถือเป็นปัจจัยกดดันของภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับผู้ประกอบการทราบล่วงหน้าแล้ว จึงมีการระดมทุนช่องทางอื่นที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำไว้รองรับ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นคาดว่ายอดคำขอสินเชื่อน่าจะยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง

“มองว่ากลุ่ม FINANCE มีศักยภาพการทำกำไรต่อเนื่องแม้ต้นทุนการดำเนินงานจะทยอยปรับตัวสูงขึ้น เพราะเมื่อเศรษฐกิจยังดีก็จะยังคงมีความต้องการสินเชื่อต่อเนื่องอีกทั้งภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นนั้น ผู้ประกอบการมีการระดมทุนเพื่อให้ได้ต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำลงมารองรับบ้างแล้ว”

*MTC-SAWAD มาแรง เนื่องจากปัจจุบัน MTC เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยที่ 23% ขณะที่มาตรการสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีความชัดเจนแล้วโดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เกิน 28% และให้ใบอนุญาตโดยไม่ต้องขอใหม่กับผู้ที่มีใบอนุญาตสินเชื่อบุคคลแล้ว

* KTC- AEONTS สินเชื่อพุ่งผู้ประกอบการกลุ่ม Non-Bank สามารถขยายฐานสินเชื่อได้ทั้งสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล โดยเป็นการเติบโตนตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว

ผู้วิเคราะห์ข่าว  :  นางสาวกฤติญา  จันเทศ  5911011804040 ( บิว ) 👸🏻

จากแหล่งที่มา :  ทันหุ้น : เปิดโผหุ้นNon-Bankเด่น ชูMTC-SAWAD-AEONTS-KTC

ข่าวสัปดาห์ที่ 2

บสย.เปิดแผนปี61 มุ่งสนับสนุนSMEs เข้าถึงสินเชื่อ

จากข่าว เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561  

นายนิธิศ มนุญพร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)  เปิดเผยนโยบายและแผนดำเนินงาน บสย. ปี 2561 โดยจัดทัพองค์กรสู่ สถาบันค้ำประกันสินเชื่อแห่งชาติ วาง 4 ยุทธศาสตร์ ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ทุกมิติ ครอบคลุมด้านการค้ำประกันสินเชื่อ ช่วยผู้ประกอบการ  SMEs ตลอดจนการให้คำปรึกษาทางการเงิน เพื่อการเข้าถึงสินเชื่ออย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ

โดยตั้งเป้าการค้ำประกันสินเชื่อปีนี้ 110,000 ล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการใหม่ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อ  99,306 ราย และตั้งเป้าส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อย เข้าถึงสินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อ ไม่น้อยกว่า 73% ของจำนวนการค้ำประกัน (LG) ทั้งหมด 

          สำหรับแผนงานทั้ง 4 ยุทธศาสตร์

ยุทธศาสตร์ที่ 1 การสนับสนุน SMEs ทุกกลุ่มเข้าถึงแหล่งทุนและมีความเข้มแข็งทางการเงิน ยุทธศาสตร์ที่ 2 เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินเพื่อความยั่งยืนระยะยาว ยุทธศาสตร์ที่ 3 ส่งเสริมระบบธรรมมาภิบาลให้มีความโปร่งใสและมีคุณธรรม ยุทธศาสตร์ที่ 4 สนับสนุนการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 และแผน Digital Economy (DE)

โดยแผนการดำเนินงาน บสย. ปีนี้จะผลักดัน โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Micro Entrepreneurs ต่อเนื่องระยะที่ 3 วงเงิน 15,000 ล้านบาทให้ทันภายในไตรมาส 2 และสำหรับโครงการค้ำประกันสินเชื่อกลุ่ม Non Bank ซึ่งเป็นพอร์ตค้ำประกันสินเชื่อใหม่ ขณะนี้มีความคืบหน้ามากโดยเฉพาะการศึกษาโมเดลที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการ SMEs และธนาคารพันธมิตรที่จะเข้าร่วมโครงการ คาดว่าจะสามารถเปิดโครงการได้ภายในปีนี้

วิเคราะห์ข่าว

                นายนิธิศ มนุญพร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)  เปิดเผยนโยบายและแผนดำเนินงาน บสย. ปี 2561 วาง 4 ยุทธศาสตร์ ช่วยผู้ประกอบการ SMEsโดยตั้งเป้าการค้ำประกันสินเชื่อปีนี้ 110,000 ล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการใหม่ มี4 ยุทธศาสตร์

ยุทธศาสตร์ที่ 1 การสนับสนุน SMEs ทุกกลุ่มเข้าถึงแหล่งทุนและมีความเข้มแข็งทางการเงิน ยุทธศาสตร์ที่ 2 เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ยุทธศาสตร์ที่ 3 ส่งเสริมคุณธรรม ยุทธศาสตร์ที่ 4 สนับสนุนการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 และสำหรับโครงการค้ำประกันสินเชื่อกลุ่ม Non Bank ซึ่งเป็นพอร์ตค้ำประกันสินเชื่อใหม่ ขณะนี้มีความคืบหน้ามากโดยเฉพาะการศึกษาโมเดลที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการ SMEs และธนาคารพันธมิตรที่จะเข้าร่วมโครงการ คาดว่าจะสามารถเปิดโครงการได้ภายในปีนี้

ผู้วิเคราะห์ข่าว  :  นางสาวกฤติญา  จันเทศ  5911011804040 ( บิว ) 👸🏻

จากแหล่งที่มา   :   ข่าวหุ้นธุรกิจ : บสย.เปิดแผนปี61 มุ่งสนับสนุนSMEsเข้าถึงสินเชื่อ

เครือข่ายลูกหนี้ร้องสอบธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ทวงหนี้โหด

ข่าวสัปดาห์ที่ 3

จากข่าว เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561  

กลุ่มพิทักษ์สิทธิลูกหนี้ พร้อมประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เพื่อขอให้ดำเนินการสอบสวนเอาผิดกับธุรกิจลิสซิ่ง และผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยภายใต้การกำกับ หรือนาโนไฟแนนซ์ ที่มีพฤติกรรมเอารัดเอาเปรียบประชาชน โดยจัดทำหนังสือสัญญากู้ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่ขัดกฎหมาย รวมทั้งเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าบริการเงินกู้ ที่เอาเปรียบประชาชน 

โดยจัดทำสัญญาหลบเลี่ยงกฎหมาย ลักษณะสัญญาเงินกู้มีหลักประกันบังคับให้ลูกหนี้ต้องนำหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สิน เช่น สมุดทะเบียนรถยนต์รถจักรยานยนต์ หรือหลักประกันอื่น มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน รวมถึงกำหนดอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่พบว่าบางรายสูงกว่าร้อยละ 50 ทำให้ลูกหนี้ต้องชำระดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมสูงเกินจริง นำไปสู่การยึดบ้าน รถ และทรัพย์สิน

         ทั้งนี้ได้ร้องเรียนไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ซึ่งทำได้เพียงแจ้งเตือนเฉพาะผู้ประกอบการในระบบเท่านั้น ไม่สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้ จึงร้องขอให้นายกรัฐมนตรีให้ความช่วยเหลือ

วิเคราะห์ข่าว

          กลุ่มพิทักษ์สิทธิลูกหนี้ พร้อมประชาชนเดือดร้อน ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เพื่อขอให้ดำเนินการสอบสวนเอาผิดกับธุรกิจลิสซิ่งและผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยภายใต้การกำกับ หรือนาโนไฟแนนซ์ ที่มีพฤติกรรมเอาเปรียบประชาชนโดยจัดทำหนังสือสัญญากู้ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่ขัดกฎหมายเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าบริการเงินกู้ ที่เอาเปรียบประชาชน   จัดทำสัญญาหลบเลี่ยงกฎหมาย ลักษณะสัญญาเงินกู้ต้องนำหลักทรัพย์มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันรวมถึงอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมสูงกว่าร้อยละ 50ทำให้ลูกหนี้ต้องชำระดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมสูงเกินจริง นำไปสู่การยึดทรัพย์สิน ทั้งนี้ได้ร้องเรียนไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ซึ่งทำได้เพียงแจ้งเตือนเฉพาะผู้ประกอบการในระบบเท่านั้น ไม่สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้ จึงร้องขอให้นายกรัฐมนตรีให้ความช่วยเหลือ

ผู้วิเคราะห์ข่าว  :  นางสาวกฤติญา  จันเทศ  5911011804040 ( บิว ) 👸🏻

จากแหล่งที่มา  :  เครือข่ายลูกหนี้ร้องสอบธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ทวงหนี้โหด | ข่าวช่องวัน | ช่อง one31

P2P Lending การเข้ามา Disrupt สินเชื่อของแบงก์ และ Non-bank

ข่าวสัปดาห์ที่ 4

จากข่าวเมื่อ วันที่ 28 กันยายน 2561  

           ในช่วงที่ผ่านมา เราเห็นหน่วยงานกำกับดูแล เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์กำกับดูแลภาคธุรกิจอย่างมากมายโดยเฉพาะภาคการเงิน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์นั้นๆ สะท้อนมาที่ราคาหุ้นเสมอ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่นักลงทุนต้องให้ความสำคัญกับการส่งสัญญาณของทางการถึงนโยบายที่อาจกำลังเปลี่ยนแปลง ล่าสุด แบงก์ชาติออกประกาศเรื่อง “กรอบการกำกับดูแล Peer-to-Peer Lending Platform” ซึ่งเป็นธุรกรรมสินเชื่อระหว่างบุคคลกับบุคคล ได้กำลังก้าวเข้ามา Disrupt ธุรกิจการปล่อยสินเชื่อของแบงก์พาณิชย์และธุรกิจของ Non-bank แต่ไม่ใช่ในเร็ววันนี้                  

            P2P Lending Platform เป็นตัวกลางในการทำสัญญากู้ยืมเงิน ระหว่างผู้ให้กู้และผู้ขอกู้ที่เป็นบุคคลธรรมดา ผู้ที่สนใจจะประกอบธุรกิจ P2P Lending ต้องเข้าร่วมทดสอบ Regulatory Sandbox ของแบงก์ชาติ จนกว่าจะพร้อมให้บริการวงกว้าง จากนั้นแบงก์ชาติถึงจะส่งให้คลังอนุมัติใบอนุญาต คาดว่าหลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจ P2P Lending น่าจะออกมาได้ภายในสิ้นปี 2561 นี้   การเกิดขึ้นของ P2P Lending Platform ทำให้ผู้กู้มีทางเลือกในการกู้ยืมมากขึ้น จึงเป็นธุรกิจที่กำลังก้าวเข้ามา disrupt การให้สินเชื่อที่เป็นธุรกิจหลักของแบงก์ในกลุ่มสินเชื่อSMEและสินเชื่อบุคคล ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่า 36% ของสินเชื่อรวมของแบงก์พาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทย (ไม่รวม Interbank) ณ สิ้นไตรมาส 2/2561 ซึ่งรวมส่วนของ Non-bank อยู่ด้วย  ฝ่ายวิจัย ASP ประเมินว่า ในระยะสั้น ผลกระทบจาก P2P Lending ยังไม่มีนัยสำคัญเพราะต้องใช้เวลาพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของ Platform ซึ่งการเข้าทดสอบใน Regulatory Sandbox ของแบงก์ชาตินั้น ปกติแล้วใช้เวลา 1 ปี หลังจากนั้นยังต้องพิสูจน์ความเชื่อมั่นต่อ platform ของนักลงทุนด้วยว่าคุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่ ฝ่ายวิจัยฯ ได้สอบถามไปยังผู้ประกอบการ Non-bank ที่สนใจในธุรกิจ P2P Lending พบว่า การกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ 15% ค่อนข้างต่ำเกินไป เมื่อเทียบกับความเสี่ยงของผู้กู้และค่าดำเนินการต่างๆ ประเมินระยะยาว ผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อรายได้จากการปล่อยสินเชื่อในกลุ่ม SME และสินเชื่อรายย่อยของแบงก์พาณิชย์และNon-bank ที่อาจลดลง แต่อาจชดเชยด้วยรายได้ค่าธรรมเนียม หากแบงก์หรือ Non-bank สามารถพัฒนา platform หรือเข้าเป็นพันธมิตรกับผู้พัฒนา platform

วิเคราะห์ข่าว

           ทางเลือกในการกู้ยืมเงินของผู้กู้เริ่มมีมากขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงของปัจจุบัน จากข่าวข้างต้น คือ P2P หรือ Peer-to-Peer Lending Platform ที่เป็นตัวกลางกู้ยืมเงินของบุคคลธรรมดา ทำให้มาแย่งลูกค้าด้านสินเชื่อของทางธนาคารและNon-Bank เนื่องจากการกำหนดดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าทำให้ผู้คนหันไปสนใจทางP2Pมากกว่า แต่ทางNon-Bankก็สามารถสู้ได้ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มไปพร้อมๆกัน แต่ทั้งนี้P2Pต้องใช้ระยะเวลาในการในการพิสูจน์เพลตฟอร์มความน่าเชื่อถือของแบงก์ชาติก่อนถึงจะออกในอนุญาตในการให้ให้บริการได้ ทำให้P2Pยังไม่ส่งผลต่อด้านสินเชื่อของทางธนาคารและNon-bankในตอนนี้

ผู้วิเคราะห์ข่าว  :  นางสาวอรอมล   พงษ์รัตนสุขกิต  5911011804042 ( มั้ล ) 👸🏻

จากแหล่งที่มา  :  ทันข่าว/ทันข่าวลงทุน-ทันข่าว/p2p-lending-การเข้ามา-disrupt/

ธปท.ดึง 8 non-bank แก้หนี้ประชาชน

ข่าวสัปดาห์ที่ 5

  ธปท.เผย non-bank 8 ราย ร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ระยะ 2 คาดเริ่มไตรมาส 2 ปีนี้

    นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า โครงการคลินิกแก้หนี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศในการแก้ปัญหาหนี้ของประชาชนอย่างเป็นระบบ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน กับเจ้าหนี้หลายรายให้มีโอกาสจัดการแก้ไขปัญหาหนี้ของตนได้ ปกติจะทำได้ยาก เนื่องจากเจ้าหนี้แต่ละรายมีหลักเกณฑ์ที่ต่างกัน และลูกหนี้จะต้องเจรจากับเจ้าหนี้แต่ละรายด้วยตนเอง

สำหรับโครงการระยะที่ 1 ครอบคลุมเฉพาะหนี้ของธนาคารพาณิชย์ แต่ระยะ 2 จะขยายขอบเขตให้รวมหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ของผู้ประกอบการ non-bank ทำให้โครงการนี้มี impact และสามารถช่วยเหลือประชาชนได้กว้างขวาง และเบ็ดเสร็จมากขึ้น เพราะหนี้ส่วนนี้มีสัดส่วนจำนวนลูกหนี้กว่าร้อยละ 70 ของทั้งหมด และจากข้อมูลลูกหนี้ที่ติดต่อกับโครงการที่ผ่านมา พบว่าเป็นลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้ non-bank รวมอยู่ด้วยจำนวนสูงพอสมควร อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่ายินดีว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการ non-bank อย่างน้อย 8 ราย เห็นถึงความสำคัญของโครงการที่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินให้ประชาชน และแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ 1.บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด 2.บริษัท ซิตี้คอร์ป ลิสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด 3.บริษัท เทสโก้ คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด 4.บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด 5.บริษัท พรอมิส (ประเทศไทย) จำกัด 6.บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด 7.บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) และ 8.บริษัท อีซี่ บาย จำกัด (มหาชน) คาดว่า ลูกหนี้ของ non-bank จะสามารถเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ภายในไตรมาส 2 ปี 2562 เนื่องจากต้องรอให้การแก้ไขกฎหมาย เพื่อขยายขอบเขตให้บริษัทบริหารสินทรัพย์สามารถรับจ้างบริหารหนี้เอ็นพีแอลของ non-bank มีผลบังคับใช้ ปัจจุบันผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว

           นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินการของโครงการมีประสิทธิภาพ และสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่สุจริต และมีความตั้งใจให้แก้ไขปัญหามากขึ้น จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์เพิ่มเติม 2 ส่วนสำคัญ คือ 1.คุณสมบัติการเข้าโครงการที่เดิมต้องเป็นเอ็นพีแอลก่อนวันที่ 1 เมษายน 2561 ปรับเป็นต้องเป็นเอ็นพีแอลก่อนวันที่ 1 มกราคม 2562 และ 2.ปรับปรุงเกณฑ์การพิจารณาความสามารถชำระหนี้ และวิธีการชำระหนี้ ให้ยืดหยุ่น ง่าย และสอดคล้องกับสถานะลูกหนี้แต่ละรายได้มากขึ้น โดยเกณฑ์ใหม่จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562

         สำหรับจุดเด่นของโครงการคลินิกแก้หนี้ นอกจากเป็น one stop service แก้ปัญหาหนี้ที่มีเจ้าหนี้หลายรายแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญ คือ การให้โอกาสลูกหนี้ผ่อนชำระได้สูงสุดถึง 10 ปี ทำให้ภาระที่ต้องจ่ายต่อเดือนไม่มาก เช่น ลูกหนี้ที่มียอดหนี้ 100,000 และ 50,000 บาท จะผ่อนชำระขั้นต้นเพียงประมาณ 1,200 และ 600 บาทต่อเดือน ตามลำดับ และจากการสอบถามลูกหนี้ที่ติดต่อได้เบื้องต้น พบว่ามีลูกหนี้อย่างน้อย 300-400 ราย ซึ่งเดิมปรับโครงสร้างหนี้ไม่สำเร็จ หรือไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ จะสามารถแก้ไขหนี้ได้สำเร็จเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ใหม่ หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 30 จากปัจจุบัน

           นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) และ         นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ทั้ง 2 หน่วยงานจะลงนามใน MOU โดย NCB จะยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจสอบรายงานข้อมูลเครดิต สำหรับลูกหนี้ที่มาติดต่อและลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ ผ่านช่องทางที่สำนักงานของ SAM เพื่อลดภาระของลูกหนี้ที่สมัครเข้าโครงการ (ปกติมีค่าใช้จ่าย 100 บาท) รวมทั้งจะร่วมกันปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบ และส่งข้อมูล ทำให้การปรับโครงสร้างหนี้เริ่มเร็วขึ้น และใช้เวลาสั้นลง

วิเคราะห์ข่าว

จากข่าวจะเห็นได้ว่า ธปท.เผย non-bank 8 ราย ร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ขณะนี้ผู้ประกอบการ non-bank อย่างน้อย 8 ราย เห็นถึงความสำคัญของโครงการที่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินให้ประชาชน และได้เข้าร่วมโครงการ มีผลบังคับใช้ ปัจจุบันผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว อีกทั้งแก้ปัญหาหนี้ที่มีเจ้าหนี้หลายราย เรื่องที่สำคัญ คือ การให้โอกาสลูกหนี้ผ่อนชำระได้สูงสุดถึง 10 ปี ทำให้ภาระที่ต้องจ่ายต่อเดือนไม่มาก ซึ่งเป็นผลดีให้กับประชาชนที่เป็นหนี้สิน ที่มีโครงการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ เพื่อให้เจ้าหนี้แก้ไขปัญหาหนี้ของตนได้

ผู้วิเคราะห์ข่าว  :  นางสาววราพร  โทสันเทียะ  5911011804014 ( มิ้นท์ ) 

แหล่งที่มาของข่าว  :  ธปท.ดึง 8 non-bank แก้หนี้ประชาชน

คนไทยถังแตกแห่กู้นอนแบงก์ผ่อนหนี้

 ข่าวสัปดาห์ที่ 6  

                  นายวิชิต พยุหนาวีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง จำกัด เปิดเผยว่า เศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องในหลายปี ส่งผลให้ประชาชนกลุ่มที่มีรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป เริ่มประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง และต้องหันไปกู้ยืมจากสินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (นอนแบงก์) เพิ่ม เพื่อนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ผ่อนชำระสินค้า รวมถึง ใช้จ่ายในกรณีพิเศษ เช่น กู้เพื่อแต่งงาน รักษาพยาบาล ท่องเที่ยวต่างประเทศ
ทั้งนี้เห็นได้จากยอดคงค้างสินเชื่อบุคคลทั้งระบบธนาคารพาณิชย์และนอนแบงก์ที่มีรวมกว่า 325,000 ล้านบาท แม้จะเติบโต 3.8% แต่เป็นการเติบโตของนอนแบงก์ถึง 9.6% หรือมียอดสินเชื่อมากถึง 167,000 ล้านบาท สวนทางกับธนาคารพาณิชย์ที่หดตัวไป 1.7% มีสินเชื่อเหลือเพียง 158,000 ล้านบาท ส่งผลให้กลุ่มนอนแบงก์กลับมาครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 54 หรือในรอบ 5 ปี
นอกจากนี้ จากการศึกษาข้อมูลในตลาดพบว่า ระยะหลังคนไทยไม่กังวลว่าจะถูกนอนแบงก์เรียกเก็บดอกเบี้ยแพง 27-28% เต็มเพดานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เพียงแต่จะขอให้ได้รับเงินอนุมัติออกมาให้ใช้ได้รวดเร็ว และมีวงเงินที่มากพอต่อความต้องการก็เพียงพอ ทำให้ธุรกิจของนอนแบงก์มีโอกาสขยายตัวได้อีก
“แนวโน้มความต้องการสินเชื่อไปใช้เสริมสภาพคล่องขยายวงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ แต่ตอนนี้ขยับมาถึงกลุ่มมีรายได้สูง ทำให้การปล่อยกู้สินเชื่อบุคคลของนอนแบงก์ยังมีโอกาสโตได้อีกปีละ 5-10% เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ยังระวังการปล่อยกู้อยู่ เพราะกลัวจะกลายเป็นหนี้เสีย ผิดกับนอนแบงก์ที่มีความกล้าที่จะปล่อย และสามารถบริหารจัดการการปล่อยกู้หรือบริหารหนี้ได้ดีกว่า แต่เชื่อว่ากลุ่มรายได้สูงยังเป็นตลาดสินเชื่อที่ดี มีความเสี่ยงเป็นหนี้สูญน้อยกว่าลูกค้ารายได้ต่ำอยู่”

วิเคราะห์ข่าว

         เศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องในหลายปี ส่งผลให้ประชาชน เริ่มประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง และต้องหันไปกู้ยืมจากสินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (นอนแบงก์) เพิ่ม เพื่อนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพราะ รับเงินอนุมัติออกมาให้ใช้ได้รวดเร็ว และมีวงเงินที่มากพอต่อความต้องการก็เพียงพอ สามารถบริหารจัดการการปล่อยกู้หรือบริหารหนี้ได้ดีกว่า ทำให้ธุรกิจของนอนแบงก์มีโอกาสขยายตัวได้อีก

ผู้วิเคราะห์ข่าว  :  นางสาวชไมพร    เวฬุวนารักษ์   รหัส 5911011804028  (แพร)

แหล่งที่มาของข่าว  :   คนไทยถังแตกแห่กู้นอนแบงก์ผ่อนหนี้

"แบงก์ชาติ" ดึงบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลของผู้ประกอบการ non-bank เข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ระยะที่ 2

จากข่าวเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์  2562

ข่าวสัปดาห์ที่ 7 

 

"แบงก์ชาติ" ดึงบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลของผู้ประกอบการ non-bank เข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ระยะที่ 2

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แฟนเพจ ธนาคารแห่งประเทศไทย - Bank of Thailand ระบุว่า จากข้อมูลของลูกหนี้ที่ติดต่อกับโครงการคลินิกแก้หนี้ที่ผ่านมา พบว่าเป็นลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้ non-bank รวมอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก โครงการในระยะที่ 2 จึงได้มีการขยายขอบเขตให้รวมหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลของผู้ประกอบการ non-bank ด้วย นอกเหนือจากหนี้ของธนาคารพาณิชย์ โดยคาดว่าลูกหนี้ของ non-bank จะสามารถเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 และเพื่อให้การดำเนินการของโครงการมีประสิทธิภาพและสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่สุจริต และมีความตั้งใจให้แก้ไขปัญหาได้มากขึ้น จึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์เพิ่มเติมใน 2 ส่วนสำคัญ โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 ดังนี้

1. คุณสมบัติการเข้าโครงการที่เดิมต้องเป็น NPL ก่อนวันที่ 1 เมษายน 2561 ปรับเป็น ต้องเป็น NPL ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2562

2. ปรับปรุงเกณฑ์การพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้และวิธีการชำระหนี้ ให้ยืดหยุ่น ง่าย และสอดคล้องกับสถานะลูกหนี้แต่ละรายได้มากขึ้น

วิเคราะห์ข่าว

จากข้อมูลของลูกหนี้ที่ติดต่อกับโครงการคลินิกแก้หนี้ที่ผ่านมา พบว่าเป็นลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้ non-bank รวมอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก โครงการในระยะที่ 2 จึงได้มีการขยายขอบเขตให้รวมหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลของผู้ประกอบการ non-bank ด้วย นอกเหนือจากหนี้ของธนาคารพาณิชย์ โดยคาดว่าลูกหนี้ของ non-bank จะสามารถเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 และเพื่อให้การดำเนินการของโครงการมีประสิทธิภาพและสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่สุจริต และมีความตั้งใจให้แก้ไขปัญหาได้มากขึ้น จึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์เพิ่มเติมใน 2 ส่วนสำคัญ โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 ดังนี้

ผู้วิเคราะห์ข่าว  :  นางสาวอนิตา  ศิลาชัย  045 (แพรว)

แหล่งที่มาของข่าว  :  "แบงก์ชาติ" ดึงบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลของผู้ประกอบการ non-bank เข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ระยะที่ 2

นอนแบงก์ หนี้เสียพุ่ง! วัยทีน กลุ่มเสี่ยงใหญ่ - เข้ม "สินเชื่อมอเตอร์ไซค์"

ข่าวสัปดาห์ที่ 8

                

              สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธปท. เปิดผลวิจัยพบ ‘นอนแบงก์-สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ’ มีสัดส่วนหนี้เสียพุ่งสูง เหตุแข่งดึงสินเชื่อเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ จับตา ‘ผู้กู้วัยทีน’ - ‘สินเชื่อมอเตอร์ไซค์’ หนี้เสียกระฉูด เร่งกำกับรายสถาบันมากขึ้น

               น.ส.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัยด้านระบบการเงิน สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์โครงสร้างตลาดสินเชื่อรายย่อยไทยและพฤติกรรมของสถาบันการเงินจาก Big Data ของเครดิตบูโร ตั้งแต่ปี 2522 - ก.ค. 2559 จาก 65 ล้านสัญญา หรือคิดเป็นผู้กู้ 19.3 ล้านคน ครอบคลุม 87% ของหนี้ทั้งระบบ พบว่า ตลาดสินเชื่อรายย่อยไทยมีความกระจุกตัวค่อนข้างสูง โดยสถาบันการเงินที่มีส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ตแชร์) มากที่สุด 6 อันดับแรก จะเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 3 แห่ง และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) อีก 3 แห่ง จากสถาบันการเงินทั้งหมด 90 แห่ง ได้ครอบครองมาร์เก็ตแชร์ถึง 60%

หากดูตามประเภทสถาบันการเงิน พบว่า สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non Bank) และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ มีสัดส่วนของผู้กู้ที่เป็นหนี้เสียที่สูงกว่าธนาคารพาณิชย์ โดย Non Bank มีหนี้เสียประมาณ 17.7% หรือมีปริมาณหนี้เสียเฉลี่ยต่อคน 41,886 บาท ขณะที่ SFIs มีหนี้เสียอยู่ที่ 11.6% เฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 61,248 บาท และธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 9.7% เฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 122,645 บาท

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมยังไม่พบว่า มีความเสี่ยงเชิงระบบ เพราะสถาบันการเงินสามารถรองรับได้ โดยนโยบายการกำกับดูแลภายใต้ความแตกต่างและพฤติกรรมของการแข่งขันนั้น จะต้องเข้าไปดูในแต่ละรายสถาบันการเงิน เช่น ที่ผ่านมา สินเชื่อที่อยู่อาศัยมีความน่าเป็นห่วง อาจจะเข้าไปกำกับทั้งในภาพรวมและดูเป็นรายสถาบันการเงิน หรือ สินเชื่อจักรยานยนต์ พบว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา มีอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สูงถึง 40% และมีหนี้เสียสูงในทุกสถาบันการเงินที่เป็น Non Bank อาจจะต้องเข้าไปดูโครงสร้างการแข่งขัน หรือ โครงสร้างของตลาด เป็นต้น

ขณะเดียวกัน สิ่งที่น่าสนใจ พบว่า สินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อบัตรเครดิตจะเป็นสินเชื่อที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่นใน 4 ประเภท ได้แก่ สินเชื่อที่อยู่อาศัย, สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อจักรยานยนต์ และกลุ่มที่มีการแข่งขันสูงจะเป็นกลุ่มผู้ที่มีอายุไม่ถึง 25 ปี จะเห็นว่า มีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรงในทุกสถาบันการเงินและในทุกผลิตภัณฑ์ ดังนั้น หากมองในกลุ่มอายุ พบว่า สัดส่วนของผู้กู้ที่มีหนี้เสียสูงจะอยู่ในกลุ่มอายุ 25-35 ปี คิดเป็น 20.2% ของผู้กู้ที่เป็นหนี้เสียทั้งระบบ และรองลงมาจะเป็นกลุ่มอายุต่ำกว่า 25 ปี มีสัดส่วนประมาณ 17.7%

สาเหตุผู้กู้ที่มีอายุเฉลี่ย 25-35 ปี หรือต่ำกว่า 25 ปี เป็นหนี้เสียสูง เพราะเพิ่งเริ่มต้นทำงาน และมีเงินเดือนประจำ และยังเข้าไปถึงตลาด สถาบันการเงินจึงแข่งขันเพื่อดึงกลุ่มนี้เข้ามาในพอร์ต เพราะถือว่าเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและสามารถเพิ่มสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ของสถาบันการเงินได้ โดยผู้กู้ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี คิดเป็นจำนวน 3.2% ของผู้กู้ทั้งหมด ซึ่งปริมาณสินเชื่อเป็น 1.1% ของปริมาณสินเชื่อทั้งหมด และพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง จะเป็นพื้นที่ชุมชนเมือง และกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เป็นหลัก

การแข่งขันที่สูงมีทั้งข้อดีและเสีย โดยข้อดีทำให้คนเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น แต่ข้อเสีย ทำให้คุณภาพสินเชื่อก็ด้อยในกลุ่มที่แข่งขันสูงด้วย เนื่องจากการแข่งขันของสถาบันการเงินมี 2 มิติ คือ มิติแรก จะเป็นการแข่งขันเชิงปริมาณ คือ การเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ บางครั้งจะเห็นสถาบันการเงินบางแห่งดึงลูกค้าที่ด้อยคุณภาพเข้ามาในพอร์ต เพื่อเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ โดยไม่ได้มีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี เช่น สินเชื่อจักรยานยนต์ ที่มีสัดส่วนหนี้เสียทั้งในเชิงเม็ดเงิน และในเชิงจำนวนคนที่มีหนี้เสีย และมิติที่ 2 จะเป็นการแข่งขันเชิงคุณภาพ คือ การรักษาคุณภาพสินเชื่อควบคู่กับการแข่งขัน

ผู้วิเคราะห์ข่าว  ; นายธนพล  สีใสไพร  5911011804043 (โฟก)

แหล่งที่มา  :  https://www.tnews.co.th

ข่าวสัปดาห์ที่ 9  จากข่าวเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์  2562

MTLS ลั่นคิดดอกเบี้ยต่ำสุดในระบบ ยันก.คลังจ่อคลอดกม.คุม Non-Bank ไม่กระทบธุรกิจ

นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทยลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS เปิดเผยถึงกรณีที่กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการออก พ.ร.บ.การกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินนอกกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยจะจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลกิจการที่ดำเนินธุรกิจคล้ายสถาบันการเงิน (Non-Bank) ว่า เรื่องดังกล่าวไม่กระทบกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด และมองว่าการที่มีหน่วยงานเข้ามากำกับดูแลธุรกิจ Non-Bank ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะได้มีเจ้าภาพเข้ามาดูแลปัญหา และเข้ามาตรวจสอบการดำเนินงานของผู้ประกอบการทั่วประเทศ ให้มีมาตรฐานเดียวกัน “ผมมองว่าการที่มีหน่วยงานเข้ามากำกับดูแล Non-Bank เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะได้มีเจ้าภาพที่แน่นอน เข้ามาดูแลและกำกับให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งในส่วนของ MTLS ยืนยันว่าไม่ได้รับผลกระทบ เพราะการคิดอัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมของเรา เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และที่สำคัญ อัตราดอกเบี้ยของเราที่คิดกับลูกค้าถือว่าต่ำสุดในระบบ”นายชูชาติ กล่าว

ผู้วิเคราะห์ข่าว  ; นางสาวอนิตา  ศิลาชัย  5911011804045 (แพรว)

แหล่งที่มา : https://www.kaohoon.com

เจาะรูดปรื๊ดรายได้ต่ำ3หมื่น ไทยพาณิชย์ชูเป้า

ปี'62ออกบัตรเครดิต5แสนใบ 

ข่าวสัปดาห์ที่ 9  วันที่ 01 มี.ค. 2562 

ไทยพาณิชย์ ขยายฐานบัตรเครดิตตลาดล่าง  เล็งจับกลุ่มนักช็อปคนรุ่นใหม่ ดึงยอดผ่อนกระตุ้นใช้จ่ายทั้งปีโต 25% นางปิติพร พนาภัทร์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานบริหารพันธมิตรและพัฒนาธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า กลยุทธ์บัตรเครดิตในปี 2562 เน้นเจาะฐานลูกค้าทั่วไปรายได้ 1.5-3 หมื่นบาท ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีช่องว่างการเติบโตได้อีกมาก จากที่ผ่านมาไปเติบโตในกลุ่มลูกค้ารายได้ปานกลาง-บน และลูกค้าที่มีความมั่งคั่ง หรือเวลธ์ จึงต้องการขยายฐาน ลูกค้าทั่วไปที่อายุน้อยลง เด็กจบใหม่เพิ่งเริ่มทำงานมีไลฟ์สไตล์ กิน เที่ยว ช็อป เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการจับจ่ายใช้สอย สัดส่วนบัตรเครดิตที่เป็นลูกค้าแมสอยู่ที่ 45% ซึ่งกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับการผ่อนชำระทั้งผ่าน ดีจัง 0% และการผ่อนชำระขั้นต่ำ สร้างรายได้ดอกเบี้ยให้ธนาคาร ประกอบกับมีบริการเลือกผ่อนได้เองผ่านเอสซีบีอีซี่แอพ จนทำให้อัตราการผ่อนชำระและการชำระเต็มวงเงินเท่ากันที่ระดับ 50:50 ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าออกบัตรเครดิตใหม่ 5 แสนใบ เติบโต 20% และยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเติบโต 25% จาก 3 แสนล้านบาท เมื่อปีที่แล้ว สูงกว่าเมื่อเทียบกับทั้งตลาดบัตรเครดิตปีนี้ที่คาดว่าจำนวนบัตรเติบโต 10% และยอดใช้จ่ายเติบโต 10-15% ส่วนอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จะรักษาให้อยู่ระดับ 1% ปัจจุบันมีอัตราอนุมัติเฉลี่ย 40-50% ฐานบัตรประมาณ 2.4 ล้านใบ นางปิติกร กล่าวว่า ธนาคารได้เปิดตัวบัตรเครดิต เอสซีบี เจซีบี แพลทินัม เน้นกลุ่มลูกค้าเริ่มทำงานใหม่ ด้วย โปรโมชั่นที่เน้นกิน ช็อป และท่องเที่ยว 5 ประเทศยอดฮิตในเอเชีย คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน มีลูกค้าสมัครแล้วถึง 1 หมื่นราย ตั้งเป้ามีผู้สมัคร 1 แสนใบในปีนี้ โดยเปิดสมัครบัตรเครดิตเจซีบีเฉพาะช่องทาง อีซี่แอพเท่านั้นไม่มีผ่านสาขา ถือเป็นการทดสอบดิจิทัลเลนดิ้ง จะเน้นลูกค้าเดิม ของธนาคารที่มีบัญชีเงินเดือน หรือใช้บริการผลิตภัณฑ์ของธนาคารแต่ยังไม่มีบัตรเครดิต คาดว่า ยอดสมัครบัตรเครดิตผ่านแอพจะเพิ่มขึ้น 3-4 เท่า เทียบกับปีที่แล้วที่เติบโตเพียง 10%

วิเคราะห์ข่าว

วิเคราะห์ ผู้บริหารสายการบัตรเครดิตของทางธ.ไทยพาณิชย์ได้เห็นช่องทางการขยายฐานลูกค้าไปยังลูกค้าที่มีอายุน้อยลง เป็นกลุ่มที่มีการใช้สอยเยอะ เพื่อสร้างดอกเบี้ยให้กับธนาคารจากการที่ให้ผ่อนชำระขั้นต่ำและดีจัง 0% ทำให้อัตราผ่อนชำระและชำระเต็มวงเงินเท่ากับ 50:50 แน่นอนว่าทางวัยรุ่นโดยเฉพาะที่เพิ่งจบใหม่อาจสนใจมากพิเศษเพราะเป็นการตอบสนองไลฟ์สไตล์ในตอนนั้น อยากมีบัตรแต่ว่าเงินเดือนยังไม่มากพอที่จะมีบัตรไว้ใช้เป็นของตัวเอง ด้วยที่ดอกเบี้ยและการผ่อนชำระอยู่ในอัตราที่น้อยที่วัยรุ่นสามารถจ่ายไว้ อีกทั้งยังตอบสนองความต้องการของธงที่ตั้งเป้าหมายการเติบโตของบัตรที่ 10% และยอดค่าใช้จ่ายโตอีก 10-15%

ผู้วิเคราะห์ข่าว  ; นางสาวอรอมล พงษ์รัตนสุขกิต 5911011804042  (มั้ล)

แหล่งที่มา  : https://www.posttoday.com